แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยทั้งสองเห็นว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเกินกว่าสองแสนบาท ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเพราะค่าเสียหายรวมดอกเบี้ยจนถึงวันยื่นฎีกาที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระ แก่โจทก์ที่ 1รวมกับของโจทก์ที่ 2 แล้ว เป็นเงินจำนวน 235,512.50 บาท โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน จำนวน 151,900 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นหนึ่งพันเก้าร้อยบาทถ้วน)แก่โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 136,900 บาท นับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2531เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 16,500 บาท (หนึ่งหมื่นหกพันห้าร้อยบาทถ้วน)แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาวันที่ 30 พฤษภาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 106)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้อง (อุทธรณ์คำสั่ง) นี้วันที่30 มิถุนายน 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกา (อันดับ 109)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยทั้งสองในวันที่ 30 พฤษภาคม 2537 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันยื่นฎีกา จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเมื่อวันที่30 มิถุนายน 2537 เป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง คำร้องของ จำเลยทั้งสองจึงมิชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ