คำสั่งคำร้องที่ 2632/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ 169,128 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน จำนวน 122,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ก. และข้อ 2 ข. ที่ว่า โจทก์เข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ แทนบริษัทศรีเหมราช จำกัด ผู้ค้ำประกันเดิมโดยจำเลยมิได้รับรู้ โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย เมื่อโจทก์ ชำระหนี้แทนจำเลยเป็นการจัดการงานนอกสั่ง โจทก์ต้องฟ้องธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อเรียกคืนเงินอันเป็นลาภมิควรได้และฎีกาข้อ 2 ค. ที่ว่า ศาลตีความจากสัญญาฉบับที่โจทก์ทำกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ไม่ชอบ เพราะสัญญาเอกสารหมาย จ.2 ที่ทำขึ้นในขณะจำเลยกู้เงินและบริษัทศรีเหมราช จำกัดเป็นผู้ค้ำประกัน หาได้มีการยกเลิกและยังมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ หากศาลตีความจากสัญญาฉบับนี้ จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีนั้น ล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 106)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 122,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 47,128.76 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 96)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)

คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลย และโจทก์ได้ชำระหนี้ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์แทนจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิไล่เบี้ยจำนวนเงินที่ชำระพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยได้ การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยก็ดี โจทก์ไปชำระหนี้โดยไม่บอกกล่าวจำเลยก็ดี และจำเลยมิได้ผิดสัญญากับธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็ดีนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share