คำสั่งคำร้องที่ 2598/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยืน ตามศาลชั้นต้น จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นเป็นการวินิจฉัยเฉพาะการกระทำความผิดและ ดุลพินิจในการลงโทษ แต่ยังไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางคดีจึงยังไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 จำเลยมีสิทธิที่จะฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 56)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งออกนอก ราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง,66 วรรคสอง, 15 วรรคสอง,65 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 เฮโรอีน ที่จำเลยมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งออก นอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำ ของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษ บทหนักที่สุด ซึ่งตามพระราชบัญญัติมาตราการในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 บัญญัติ ให้ผู้พยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษ ตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำ ความผิดสำเร็จ จึงต้องลงโทษจำเลยฐานพยายามส่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 65 วรรคสอง,65 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติมาตรการ ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 อันเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ชั้นจับกุมและชั้นพิจารณาของศาลจำเลยให้ การ รับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 52(2) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง (อันดับ 25 แผ่นที่ 4,5)
โจทก์และจำเลยต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายัง ศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 55 แผ่นที่ 3)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 56)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ตลอดชีวิต และริบของกลาง จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวน ไปยังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เท่ากับศาลอุทธรณ์สั่งริบของกลางแล้วเช่นกัน จึงหาใช่ตามที่ จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้สั่งเกี่ยวกับของกลางไม่ ดังนั้น คดีจำเลยจึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ฎีกาจำเลยจึงต้องห้ามศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share