แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลางไว้จึงไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ซึ่งนำมาใช้ใน คดีอาญาได้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,76 วรรคแรก จำคุก 5 ปีคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการ พิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 110)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองจำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลาง จึงไม่ได้ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 ซึ่งเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้มีกัญชา ของกลางไว้ในครอบครอง อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง