คำสั่งคำร้องที่ 2546/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ทุนทรัพย์พิพาทในคดีนี้ไม่ถึง 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ฎีกาของจำเลยทั้งหมดเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับเป็นฎีกา คืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 364,800 บาท แก่โจทก์ ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงเกินกว่า สองแสนบาทไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และจำเลยที่ 1 ฎีกาคัดค้านการรับฟังพยานของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า รับฟังพยานนอกเหนือจากที่ปรากฏในสำนวนซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 และบริวารออกจากอาคารสถานที่เช่าและส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าคืนให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเช่า และค่าเสียหายจำนวน 197,314.16 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 194,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 30,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนจนครบ และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 600 บาท นับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2534 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2536 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ดังกล่าว (อันดับ 92) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 94)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว สำหรับปัญหาจำนวนทุนทรัพย์แห่งคดีที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นเป็นอุทธรณ์คำสั่งมานั้น เห็นว่า จำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระส่วนที่ คำนวณจนถึงวันฟ้องเป็นจำนวนไม่เกินสองแสนบาทนั้น เป็นทุนทรัพย์แห่งคดีที่โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 ประกอบด้วยตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (1)(ก.)ซึ่งส่วนนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์ในจำนวนที่ไม่เกินสองแสนบาททุนทรัพย์แห่งคดีในชั้นฎีกาจึงไม่ได้เพิ่มขึ้น ส่วนจำนวนดอกเบี้ยที่คิดคำนวณต่อเนื่องถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนั้นเป็นอำนาจของศาลที่จะเห็นสมควรและพิพากษาให้ต่อเนื่องไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(3) โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องมีคำขอ จำนวนดอกเบี้ยส่วนนี้ จึงมิอาจถือเป็นทุนทรัพย์แห่งคดีที่จะต้องชำระค่าขึ้นศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150ประกอบด้วยตาราง 1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้แม้โจทก์จะระบุขอมาในคำขอท้ายฟ้อง ดังนี้ ที่จำเลยที่ 1 ถือจำนวนดอกเบี้ยในส่วนนี้ที่ทวีขึ้นมาคำนวณเพิ่มเป็น จำนวนทุนทรัพย์แห่งคดีในชั้นฎีกาย่อมไม่ได้ ทุนทรัพย์จึง ยังไม่เกินสองแสนบาทเช่นเดิมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ดังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนั้นถูกต้องแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับปัญหาที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งมาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังพยานนอกเหนือจาก ที่ปรากฏในสำนวนเป็นข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า เหตุที่ จำเลยที่ 1 ยกขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาคงสรุปได้ว่า เป็นการ โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้รับฟัง ข้อเท็จจริงบางประการที่จำเลยที่ 1 เห็นว่าจะเป็นผล ให้เกิดประโยชน์แก่ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ข้อกฎหมาย ที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้างเป็นเพียงการสรุปเป็นผลจากการ โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเท่านั้น ฎีกาจำเลยที่ 1 จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่ต้องห้าม ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยที่ 1 จึงถูกต้องแล้ว อุทธรณ์คำสั่งจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้นทุกข้อ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ค่าคำร้องเป็นพับ

Share