แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท และศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังคงลงโทษ จำเลยไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา แก้ไขมาก แต่มิได้เพิ่มเติมโทษจำเลย ห้ามมิให้คู่ความฎีกา ใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ที่แก้ไขใหม่ ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย6 เดือน แต่ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นลงโทษจำคุก 4 เดือน 15 วัน แต่ไม่รอการลงโทษจำเลย เป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 43) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 วรรคแรก,73 วรรคแรก ที่แก้ไขแล้วลงโทษจำคุก 1 ปีและปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก6 เดือน และปรับ 10,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติจำเลย โดยให้จำเลยไปรายงานตัว ต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ภายในระยะเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุก 9 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 เดือน 15 วัน ไม่รอการลงโทษ ไม่ปรับ งดจ่ายสินบนนำจับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 40) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 41)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้นอกจากศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปีแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกอีกด้วย จึงเป็นการพิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป