คำสั่งคำร้องที่ 2366/2541

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว หาใช่หลายกรรมดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง,57, 75, 76 วรรคสอง, 92 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของ จำเลยเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 5 กัญชา จำคุก 3 เดือน ฐานมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 กัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี และฐานจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 กัญชา จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 6 ปี 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่ บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี 2 เดือน ริบของกลาง ให้คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ว่า ฎีกาจำเลยที่ว่า ศาลชั้นต้น ฟังข้อเท็จจริงไม่ตรงกับความเป็นจริง และฟังข้อเท็จจริง เกินกว่าความเป็นจริงในสำนวน และคดีนี้การกระทำของจำเลย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มี โทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยโดยเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “ที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นล้วนแต่เป็นฎีกาโต้เถียง ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกแต่ละกระทงมีโทษจำคุก ไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาชอบแล้ว สำหรับฎีกาข้อที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวหาใช่หลายกรรมดังที่ศาลล่าง ทั้งสองวินิจฉัย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อนี้ไว้พิจารณา”

Share