คำสั่งคำร้องที่ 2360/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยมีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินป่าเลนอันเป็นป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่และการที่จำเลยแผ้วถางที่ดินป่าเลนเพื่อต้องการทราบแนวอาณาเขตในการรังวัดขอออกโฉนดที่ดินไม่เป็นความผิดฐานยึดถือครอบครองที่ดินอันเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 123)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4,6,14,31 ฯลฯ จำคุก 10 เดือนปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้เป็นเวลา 2 ปี ฯลฯศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507(ที่แก้ไขแล้ว) มาตรา 14ลงโทษตามมาตรา 31 วรรคหนึ่งและวรรคสุดท้าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 121)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 123)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินป่าเลน อันเป็นป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงส่วนข้ออ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยว่าการที่จำเลยแผ้วถางที่ดินป่าเลนเพื่อต้องการทราบแนวอาณาเขตในการรังวัดขอออกโฉนดที่ดินไม่เป็นความผิดฐานยึดถือครอบครองที่ดินอันเป็นป่าสงวนแห่งชาตินั้น ย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายการเถียงข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219(มาตรา 218 วรรคแรก) ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share