แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้น ที่ถูกเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะฟังได้หรือไม่ เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาที่ว่าข้อนำสืบของจำเลย เป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่นั้น ที่แท้แล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยนำสืบเป็นการนอกคำให้การนั้นเป็นการเกินเลยไป ไม่ทำให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินในเขตเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 27 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คำขอนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแก่โจทก์เป็นเงิน 600 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา
จำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “ฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ก. ที่ว่าศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้น ที่ถูกเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ข.ที่ว่าข้อนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่นั้นแท้จริงศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย โดยเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ส่วนที่วินิจฉัยว่าข้อที่จำเลยนำสืบเป็นการนอกคำให้การนั้นเป็นการเกินเลยไป ไม่ทำให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”