แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ก. ในประเด็นที่ว่า ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย จึงเป็นการรับฟัง พยานหลักฐานที่ไม่ชอบ และฎีกาในข้อ 2 ข. ในประเด็นที่ว่าข้อ ที่จำเลยนำสืบนั้นเป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่ เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินในเขตเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 27 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คำขอนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแก่โจทก์เป็นเงิน 600 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 114)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง
ฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ก. ที่ว่าศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบนั้นที่ถูกเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใด จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อ 2 ข. ที่ว่าข้อนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบนอกคำให้การหรือไม่นั้น แท้จริง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนัก ดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยโดยเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ส่วนที่วินิจฉัยว่าข้อที่จำเลยนำสืบเป็นการนอกคำให้การนั้น เป็นการเกินเลยไป ไม่ทำให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง