คำสั่งคำร้องที่ 2278/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสอง ในขณะที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งยังไม่ห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสองจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ประกอบกับฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องและศาลพิพากษาเกินคำขอ และฎีกาที่ว่า ศาลรับฟังพยานบุคคลซึ่งนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมพยานเอกสารต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93และมาตรา 94 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ทั้งสองได้รับสำเนา คำร้องแล้วหรือไม่ (อันดับ 152)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 52801 ตำบลลำปลาทิว อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ)กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 50 ตารางวา ภายใน30 วัน หากจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา หากโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 2ไม่อาจตกลง แบ่งแยกที่ดินเป็นสัดส่วนได้ ให้นำที่ดินทั้งแปลงออก ประมูลขายในระหว่างกันเอง หากประมูลขายระหว่างกันเองไม่ได้ ให้นำออกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินที่ได้มาแบ่งกันตามส่วน ให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนการเลิกสัญญาเช่าที่นาที่ได้ รับจากนางบุญลือ ดิษาภิรมย์ ให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จสิ้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 150)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 151)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ประเด็นข้อ 3 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าแม้การยกให้นาพิพาทได้จดทะเบียนเป็นนิติกรรมการซื้อขาย แต่การที่ นาง บุญลือ เจ้าของนาจะขายนาพิพาทจำเป็นต้องเลิกการเช่านาเพื่อให้ผู้เช่านาออกจากนาพิพาทก่อน เชื่อได้ว่านางบุญลือยกที่ดินโฉนดเลขที่ 52801 ให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นค่าทดแทนการเลิกสัญญาเช่านาด้วย ที่จำเลย ทั้งสองนำสืบว่าซื้อที่ดินโฉนดดังกล่าวจากนางบุญลือ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ดังนั้นที่จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงว่าศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อ คดีที่ฟ้องนี้เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท และจำเลยทั้งสองยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2537 อันเป็นเวลาภายหลังจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 มีผลใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่นี้บัญญัติว่า “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง”จำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาสำหรับประเด็นข้อนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนประเด็นข้อ 2 เกี่ยวกับคำสั่งของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แขวงลำปลาทิวครั้งที่ 3/2534 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2533 ที่อาศัยเป็น หลักแห่งข้อหาให้แบ่งนาพิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็น คำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นาพิพาทหรือที่ดินโฉนดเลข ที่ 52801เป็นลาภมิควรได้ ให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกให้แก่ โจทก์ทั้งสองตามส่วน และจำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ส่วนนี้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสองข้อนี้ไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไป

Share