แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า คดีนี้ศาลฎีกาอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาในวันที่ศาลชั้นต้นนัดพิจารณาหลักประกัน ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงว่าเจ้าพนักงานทำสัญญาประกันไม่อาจทำสัญญาประกันให้แก่จำเลยที่ 1 ได้เพราะจำเลยที่ 2 มิได้มาด้วย จึงขอให้ศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันได้ตามหลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 เสนอไป
ศาลชั้นต้นสั่งว่าหลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 วางประกันไว้ใช้ประกันได้แต่ในชั้นอุทธรณ์ ถ้าจะใช้หลักทรัพย์ดังกล่าวประกันในชั้นฎีกา ต้องให้จำเลยที่ 2 มาทำสัญญาค้ำประกันใหม่ จึงให้จำเลยที่ 1จัดการนำจำเลยที่ 2 มาทำสัญญาค้ำประกันภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้หากนำมาไม่ได้ให้นำหลักทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 1 มาวางแทนให้มีจำนวนพอกับหลักทรัพย์เดิมของจำเลยที่ 2 ภายในกำหนดดังกล่าว ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถวางหลักทรัพย์ประกันตามคำสั่งของศาลฎีกาได้ และจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับระหว่างฎีกา ให้นัดพร้อมโจทก์และจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 1นำเงินหรือหลักทรัพย์มาวางต่อศาลให้พอกับหนี้ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ใหม่ทั้งหมด โดยไม่รวมกับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 2 นำมาวาง พร้อมกับได้ทำสัญญาประกันให้ไว้ต่อศาลแล้ว เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์นั้นไม่ถูกต้อง เพราะจะเป็นการขัดแย้งกับสัญญาประกันที่จำเลยที่ 2 ทำไว้ดังกล่าวแล้วและยังมีผลให้เป็นการวางเงินประกันหนี้ที่ซ้ำซ้อน อีกทั้งข้อความในสัญญาประกันดังกล่าวยังระบุว่าเป็นการวางประกันเพื่อหนี้ของจำเลยทั้งสองมิได้ระบุว่าเป็นประกันเฉพาะหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเฉพาะต่อศาลอุทธรณ์เท่านั้น จึงมีผลเป็นการประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 และถือว่ายอดเงินของจำเลยที่ 2 ที่วางไว้ต่อศาลแล้วดังกล่าวเป็นหลักประกันหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ที่มีอยู่แล้วจำนวนหนึ่งได้ด้วยสำหรับจำเลยที่ 2 นั้น มีเจตนาจะบิดพลิ้วสัญญาประกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่สามารถนำมาทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลได้ ขอศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งยกคำสั่งของศาลชั้นต้นและอนุญาตให้จำเลยที่ 1 วางหลักประกันเพิ่มเติมอีกจำนวน 30,000 บาท โดยให้ถือว่าหลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่นำมาวางเพิ่มเติมเมื่อรวมกับของจำเลยที่ 2 ที่วางไว้แล้วเป็นการเพียงพอกับประกันหนี้ของโจทก์ และอนุญาตให้ทุเลาการบังคับระหว่างฎีกา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 5)
จำเลยที่ 1 ชำระค่าขึ้นศาล 200 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน150,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2525 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงินเพียง 140,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ชั้นอุทธรณ์เป็นพับ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์ฎีกา (อันดับ 148)
จำเลยที่ 1 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ (อันดับ151,150) ศาลฎีกาสั่งว่า ถ้าจำเลยที่ 1 หาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2525 จนถึงวันฟังคำสั่งนี้มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 1)
จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1ทำสัญญาประกันได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำสัญญาค้ำประกันใหม่และให้นัดพร้อมโจทก์และจำเลยที่ 1 ดังกล่าว (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 3)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 4)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 จะขอทำสัญญาค้ำประกันโดยให้นำหลักทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ที่วางไว้เป็นหลักประกันในชั้นอุทธรณ์มาเป็นหลักประกันร่วมกับหลักประกันของจำเลยที่ 1 ในชั้นฎีกาโดยที่จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมทำสัญญาค้ำประกันด้วยไม่ได้ คำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ