แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาข้อเท็จจริง กรณีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยที่ 1 ที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ตั้งแต่ต้นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์จะบรรยายฟ้องเรียกเงินเป็นส่วนตัวไม่ได้จะต้องเขียนฟ้องให้ชัดเจนว่า เป็นการเรียกเงินค่าเสียหายแทนบุตรผู้เยาว์ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย รวมทั้งการ ขับรถของจำเลยที่ 2 เป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ขับรถโดยประมาทโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ร่วมกับหรือแทนการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ฝ่ายละ 160,115.75 บาท ให้จำเลยที่ 5 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 320,271.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 85,115.75 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2532 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 36) จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 41)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เรื่องอำนาจเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนนอกนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2เฉพาะเรื่องอำนาจฟ้องไว้พิจารณา