คำสั่งคำร้องที่ 2230/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.1เป็นฎีกาข้อกฎหมายไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ฎีกาข้อ 2.2 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งคดีของจำเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งอีกทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น และการกักกันก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 219 ทวิ วรรคหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่รับฎีกา ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ยังต้องนำสืบพยานหลักฐานประกอบให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคแรก ซึ่งมิได้หมายความว่าศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไปเมื่อให้การรับสารภาพ คดีนี้โจทก์ไม่ได้สืบ พยานหลักฐานประกอบจึงเป็นกรณีมีเหตุที่จะยกฟ้องเนื่องจากจำเลย มิได้กระทำผิดหรือมีเหตุอันควรสงสัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 185 และมาตรา 227 วรรคสอง นั้น เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย และฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย ปัญหาที่ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ กักกันจำเลยไม่ได้ เพราะจำเลยไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำคุกรวม 2 คดี จึงขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 37)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3)(8) วรรคสาม จำคุก 6 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 จำคุก 8 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี นับโทษจำคุก คดีนี้ต่อจากโทษจำคุก 2 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2570/2536 ของศาลอาญาธนบุรี และให้กักกันจำเลยไว้เป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษกับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน คิดเป็นราคา 1,242,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 34 แผ่นที่ 3)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 37)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาข้อ 2.1 ว่า แม้จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว แต่โจทก์ไม่สืบพยานหลักฐานประกอบศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง เห็นว่า เป็นฎีกาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อ 2.2 ว่า จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือน มาเพียงครั้งเดียว มิใช่สองครั้งตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ศาลจึงพิพากษาให้กักกัน จำเลยไม่ได้นั้น เป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติ และต้องห้ามฎีกาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกา ของจำเลย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share