แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมายจึงไม่รับอุทธรณ์
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มิใช่ลูกจ้างของจำเลยเนื่องจากโจทก์ได้ทำสัญญาจ้างแรงงานไว้กับนิติบุคคลอื่น ไม่ใช่ทำสัญญากับจำเลย ดังนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยและมีอำนาจฟ้องจำเลย จึงเป็นการขัดกับพยานหลักฐานในสำนวนและขัดต่อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 61)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชย300,000 บาท ค่าจ้างค้าง 350,000 บาท รวม 650,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (7 กันยายน 2531) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว(อันดับ 49)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 3 ตอนท้าย กับข้อ 4ข้อ 5 และข้อ 6 ได้กล่าวอ้างถึงพยานเอกสารต่าง ๆ แล้วขอให้ศาลฎีการับฟังว่าโจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลย แต่เป็นลูกจ้างของบุคคลอื่น เป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่พิจารณาพยานเอกสารดังกล่าวแล้วฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยอันเป็นข้อเท็จจริง ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าเมื่อฟังว่าโจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและจำเลยไม่ต้องชำระเงินต่าง ๆ กับดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เป็นข้ออุทธรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับอุทธรณ์ข้อ 3 ข้อ 4 ข้อ 5 และข้อ 6ข้างต้น ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง