แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาข้อ 3 ของโจทก์โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหาย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้าม ส่วนฎีกาข้อ 2 แม้เป็นข้อกฎหมายแต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหายเป็นจำนวนมากกว่า 441,000 บาท ซึ่งทุนทรัพย์ พิพาทกันในชั้นฎีกาจะต้องถือเอาทุนทรัพย์ในขณะยื่นฎีกา ไม่ใช่ ทุนทรัพย์ขณะยื่นฟ้องในศาลชั้นต้น และฎีกาข้อ 2 ของโจทก์ เป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญในคดี เมื่อศาลล่างทั้งสอง พิพากษาส่วนนี้ตกบกพร่องไป โจทก์ก็ชอบที่จะยื่นฎีกาให้ศาลสูง วินิจฉัยให้ถูกต้องได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อโคลท์แลนเซอร์หมายเลขทะเบียน1จ-9982 กรุงเทพมหานครคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย โดยให้โจทก์ชำระเงินจำนวน32,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ 31 ตุลาคม 2533) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง และให้โจทก์ชำระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเกี่ยวกับ รถดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสองเดือนละ100 บาท นับแต่ วันฟ้องแย้งจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถคืน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อโคลท์แลนเซอร์หมายเลขทะเบียน1จ-9982 กรุงเทพมหานคร คืนโจทก์ในสภาพ ให้จำเลย ทั้งสองร่วมกันคืนเงินทดรองจ่ายจำนวน 18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้อง (17 กันยายน 2533) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ส่วนฎีกาของโจทก์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 101,99)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายและดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์นั้นเห็นว่า ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกา โจทก์จะนำค่าเสียหายและดอกเบี้ยในอนาคตมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่ได้ คดีนี้ทุนทรัพย์ที่ฟ้องในชั้นฎีกาจึงเท่ากับทุนทรัพย์ที่ฟ้องในศาลชั้นต้นคือ 111,000 บาท ส่วนเงินทดรองจ่าย 18,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระแก่โจทก์แล้ว ไม่จำต้องนำมารวมเป็นทุนทรัพย์ ที่ฟ้องในชั้นฎีกา โจทก์ฎีกาในการกำหนดค่าเสียหายเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายว่าจำเลยทั้งสองไม่อยู่ในฐานะผู้ครอบครองรถไว้ ในฐานะผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าดูแลรักษารถและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเกี่ยวกับรถนั้นเห็นว่าปัญหานี้โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของโจทก์