คำสั่งคำร้องที่ 2148/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีต้องห้ามฎีกาและไม่ได้รับคำรับรองให้ฎีกาได้ จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่าข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ นำสืบมานั้นไม่ถือว่าเป็นการครอบครองตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ประเด็นที่ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดี นอกเหนือจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน และหากจำเลย ซื้อที่ดินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนแล้วจำเลยจะได้รับความ คุ้มครองตามกฎหมายหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 127)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่ประมาณ 26 ตารางวา ในโฉนดที่ดินเลขที่ 2460ตำบลวัดโบสถ์ (ตำบลถอนสมอ) อำเภอพรหมบุรี(อำเภอท่าช้าง)จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครอง ปรปักษ์ตามแผนที่สังเขปหมายสีแดงท้ายฟ้อง ให้จำเลยทั้งสอง และบริวารเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินตามแผนที่สังเขปหมายสีแดง ท้ายฟ้องตลอดไป หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอา คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 114)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาตามข้อ 2.2.1 และข้อ 2.2.2 ว่า โจทก์มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่วันที่โจทก์ซื้อ และจำเลย ทั้งสองนำดินไปถมในที่ดินพิพาทตั้งแต่ต้นปี 2533 ถือไม่ได้ว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบนั้น เป็นการโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังมาว่า โจทก์ครอบครอง ที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ติดต่อกันมานับถึงวันฟ้องเกิน 10 ปี จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่จำเลยฎีกาตามข้อ 2.2.4และ 2.2.5 ว่า จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตและจำเลยทั้งสองได้รับโอนที่ดินพิพาท มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยทั้งสองจึงได้รับ การคุ้มครองตามกฎหมาย เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังมาว่าจำเลยทั้งสองทราบอยู่แล้วว่าโจทก์ เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทจึงถือว่าจำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพิพาท มาโดยสุจริตมิได้เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นฎีกา ดังกล่าว จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยฎีกาตามข้อ 2.2.3ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสอง สำคัญผิดว่าที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตโฉนดของจำเลยทั้งสอง เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้วินิจฉัยคดีนอกเหนือจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยทั้งสองในเนื้อแท้เป็นการโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงโดยที่ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวนไม่เกิน 200,000 บาท จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

Share