แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาเพียง 79,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์โต้แย้งเรื่องการรับฟังพยาน หลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้ที่มีชื่อในคู่มือจดทะเบียนรถยนต์นั้นเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์ จะต้องรับผิดเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น และสภาพนิติบุคคลยังคงอยู่ตลอดไปจนกว่าผู้ชำระบัญชีได้สรุปทำรายงานรวบรวมทรัพย์สินและชำระหนี้สินแล้วแจ้งนายทะเบียนกลางเห็นชอบ อันเป็นข้อกฎหมายซึ่งจะแปลหรือตีความให้เป็นอื่นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งห้าได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 102,104,103)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 79,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่า ทรัพย์มรดกของนายบรรจงที่ตกทอดแก่ตน ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหาย 79,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนายบรรจง ทุนสูงเนิน ที่ตกทอดได้แก่ตน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 97)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 4 ไม่ได้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุ จึงไม่ต้องร่วมรับผิด ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 4 มีชื่อในใบคู่มือจดทะเบียนรถย่อมฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุต้องผูกพันรับผิดด้วยนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีของโจทก์ มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาเพียง 79,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าสภาพนิติบุคคลของจำเลยที่ 4 ยังคงมีอยู่ตลอดไปจนกว่าผู้ชำระบัญชีได้ สรุปทำรายงานรวบรวมทรัพย์สินและชำระหนี้สินเสร็จสิ้น และแจ้งนายทะเบียนกลางอนุมัติเห็นชอบแล้ว จำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ต่อไปนั้น เห็นว่า เมื่อคดีของโจทก์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาว่าจำเลยที่ 4 ไม่ได้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุซึ่งจำเลยที่ 4 ย่อมไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์แล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องคืนค่าคำร้องที่เสียเกินมา 160 บาทให้โจทก์