แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น คดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่ถึง200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกา ของจำเลยจึงต้องห้าม จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลล่างทั้งสองฟังพยานหลักฐานไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111 แผ่นที่ 3)
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยชำระเงินจำนวน81,070 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 13,120 บาท นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2530 ของต้นเงิน 34,300 บาท นับแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2530 ของต้นเงิน 13,650 บาท นับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2530 และของต้นเงิน 20,000 บาท นับแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่สำหรับ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 20 มีนาคม 2532) ต้องไม่เกิน 10,133.75 บาท เท่าที่โจทก์ขอ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 103)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล (อันดับ 106)
คำสั่ง
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาโดยไม่นำเงิน มาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ยกคำร้อง