แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลจะเอาคำรับของบุคคลภายนอกคดีมาผูกพันโจทก์ในคดีนี้ไม่ได้ ศาลชั้นต้นรับฟังพยานไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี อีกทั้งศาลอุทธรณ์ มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)(2) และ (3)ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แต่มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามที่โจทก์ขอ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์อุทธรณ์ดุลพินิจของศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง (อันดับ 50)
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคท้าย ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 5โจทก์จะฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าวของศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง