แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 1 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อแทนโจทก์ที่ 2 ในเอกสารหมาย จ.3 โดยได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 ไม่ได้รับความเสียหาย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และไม่มีความผิดตามมาตรา 265,268,177 ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลสูงควรวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐาน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ที่ 2 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ส่วนโจทก์ที่ 1นั้นยังไม่ได้รับแจ้งผลการส่งหมาย (อันดับ 116)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264,265,268,177,83,90,91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,268,177,83 ลงโทษจำเลยที่ 1ตามมาตรา 268,177 เรียงกระทงลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 6 เดือน ฐานเบิกความเท็จตามมาตรา 177 วรรคแรก จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 107)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 1 ต้องถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 ปี คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1เซ็นชื่อโจทก์ที่ 2 ในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.3 ทั้งสองแห่งโดยพลการซึ่งโจทก์ที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการดังกล่าวโดยได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 2 นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง