คำสั่งคำร้องที่ 1837/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกาดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นเจตนาฉ้อโกงประชาชน จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับโจทก์ทั้งหกเห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าขอให้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยจากคำฟ้องและพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาในศาลชั้นต้น แล้วปรับบทกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343หรือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 134)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91,341,343
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องแต่ไม่ได้ตัวจำเลยที่ 4 ที่ 5 มาพิจารณา ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 4 ที่ 5 ไว้ชั่วคราว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งหกฎีกา ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 131)
โจทก์ทั้งหกจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 132)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้หลอกลวงโจทก์ทั้งหก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง พิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 หลอกลวงโจทก์ทั้งหกเป็นรายบุคคล มิใช่หลอกลวงบุคคลทั่วไป เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341แต่โจทก์ทั้งหกร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีจำเลยที่ 5 คนเดียว ฟ้องโจทก์ทั้งหกสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงขาดอายุความนั้น เป็นกรณีที่ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามมาตรา 343 โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ทั้งหกฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นการหลอกลวงประชาชนทั่วไป มิใช่เป็นรายบุคคล ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ทั้งหกศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง

Share