แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า คดีนี้บุตรขายของได้นำเงินมาชำระหนี้แทนจำเลย แล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 1,000,000 บาท และในวันนัดฟังคำพิพากษา ศาลฎีกาวันนี้บุตรจำเลยก็พร้อมที่จะชำระเงินสดให้โจทก์ร่วมอีก 400,000 บาท ยังคงค้างอยู่อีก 1,000,000 บาทเศษ ซึ่งจำเลย จะพยายามให้บุตรขายหาเงินมาชำระให้โจทก์ร่วมอีกเพื่อจะให้คดีนี้สิ้นสุดโดยเร็ว นอกจากนี้ พฤติการณ์แห่งคดีได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วกล่าวคือได้มีการชำระหนี้แล้วบางส่วน และคดีนี้ก็เป็นเรื่องที่จำเลย สั่งจ่ายเช็คแลกเงินสด มิใช่เป็นการสั่งจ่ายชำระหนี้ที่มีอยู่ก่อน แล้ว จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 จำเลยจึงหลุดพ้นจากการเป็น ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง ขอได้ โปรดสั่งคำพิพากษาและสำนวนคืนศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณา พิพากษาใหม่อีกครั้ง
หมายเหตุ โจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 174)
คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียก นางเอมอร มงคลสุข โจทก์ร่วมในสองสำนวนแรกว่า โจทก์ร่วมที่ 1 เรียกบริษัทพงษ์เกษมอุตสาหกรรม จำกัด โจทก์ร่วมสำนวนที่สามว่าโจทก์ร่วมที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3เช็ค 3 ฉบับ เป็นความผิด 3 กระทง แต่ละกระทงจำคุก 1 ปี เรียงกระทงลงโทษ รวมจำคุก 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 134)
คดีอยู่ระหว่างศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยมาศาล จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 174) ศาลชั้นต้นเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่ศาลสูงจะได้พิจารณาคำร้องของ จำเลย จึงให้ส่ง ศาลฎีกาพิจารณาสั่ง (อันดับ 175) ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องทำนองเดียวกัน ตามขึ้นมาอีก (อันดับ 176)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ที่มีอยู่ก่อนแล้ว และคดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาจึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะทำคำพิพากษาใหม่ ให้ยกคำร้อง