แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ขอให้ศาลรอการลงโทษแก่จำเลยไว้โดยมีเงื่อนไขให้คุมความประพฤติจำเลยโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 37)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 6,59 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 4,78,160 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,300 ฯลฯ ลงโทษฐานใช้รถที่ไม่ได้จดทะเบียน ปรับ 2,000 บาท ฐานขับรถก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและหลบหนีไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานจำคุก 2 เดือน ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษหนักที่สุด จำคุก 8 เดือนรวมลงโทษจำคุก 10 เดือน ปรับ 2,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 เดือน ปรับ 1,000 บาท ฯลฯ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 30)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 37)
ไม่ปรากฏใบแต่งทนายจำเลยในสำนวนที่ส่งมาศาลฎีกา
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วที่จำเลยฎีกาว่า ความประมาทเกิดจากผู้เสียหายหาใช่เป็นผลเกิดจากการกระทำของจำเลยไม่ เป็นการฎีกายกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพแล้วหาอาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นต่อสู้ได้ไม่ และที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง