แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีจึงต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่แก้ไขแล้ว ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้น ตรวจอุทธรณ์แล้ว มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ จึงไม่รับอุทธรณ์ และโจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำสั่งว่าที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ความจริงที่ปรากฏในสำนวนคือศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง จึงไม่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 29 แผ่นที่ 2-3)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นฟังว่า พฤติการณ์ ของจำเลยไม่มีเจตนาฉ้อโกงโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้แล้วว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ จึงเป็น การโต้เถียงในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2523มาตรา 3 ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 27)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 28)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ของโจทก์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าว จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ โจทก์ฎีกาคำสั่งนี้อีกไม่ได้ ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ในผล ให้ยกคำร้องของ โจทก์