แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีโจทก์อยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 มาใช้ไม่ได้ และไม่ปรากฏข้อความให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าโจทก์ได้ฎีกาในข้อเท็จจริงอีกทั้งโจทก์มิได้ขอให้ศาลพิพากษาให้ชนะคดีตามฟ้อง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาชั้นไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์เพื่อดำเนินการต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 81)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362,365 และ 83 พร้อมกับเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะออกไปจากที่ดินโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องและให้รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาเฉพาะข้อหาในส่วนแพ่งต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 80)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องของโจทก์เฉพาะคดีส่วนอาญา โดยวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ คดีจึงไม่มีมูลความผิดฐานบุกรุกตามฟ้อง เป็นการยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยผลของกฎหมาย จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแม้จะเป็นฎีกาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง