แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จำเลยจะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ดังนั้น ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงของจำเลยและศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 42,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2532 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องคิดให้ไม่เกิน 8,037.50 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา โดยเห็นว่าเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จำเลยจะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง แล้ว ดังนั้น ปัญหาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงของจำเลย และการที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่รวมทั้งปัญหาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป”