แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งนี้ให้เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ ไม่รับฎีกาจำเลยเห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมาตรา 198 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นอ้างนั้นไม่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแต่อย่างใดทั้งจะนำมาตรา 198 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับกับคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งก็ไม่อาจกระทำได้ เพราะไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้กระทำเช่นนั้นได้ คดีจึงยังไม่เป็นที่สุด จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ภายในกำหนด 1 เดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ทั้งฉบับไปยังศาลอุทธรณ์ อ้างว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 รวมทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งลงวันที่ 11 กันยายน 2530ศาลชั้นต้นเกษียนสั่งในคำร้องว่าศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2530 ยื่นคำร้องนี้ภายในกำหนด แต่ผู้ร้องมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 78)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 79)
คำสั่ง
คำสั่งศาลอุทธรณ์ซึ่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 วรรคแรก ให้ยกคำร้อง