แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ปรากฏว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยสุจริต โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยและนางสาวิตรีมุกดาทำสัญญาประนีประนอมยอมความยกเลิกเช็คพิพาทภายหลังที่โอนส่งมอบให้แก่บุคคลภายนอกจนกระทั่งโอนมาถึงโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนากระทำผิดต่อกฎหมายแล้ว จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และคดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยและพิพากษาคดีโดยอาศัยประเด็นในปัญหาข้อกฎหมายตามที่ศาลชั้นต้นได้สั่งรับอุทธรณ์ข้อกฎหมายของโจทก์ไว้ดังนั้นฎีกาโจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 109)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล มีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 106)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เช็คพิพาทจำนวนเงิน 20,000 บาท ศาลชั้นต้นฟังว่า เช็คไม่มีมูลหนี้ พิพากษายกฟ้อง คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงไม่ชอบ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ยกคำร้อง