แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ทั้งหมดล้วนเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่จึงไม่รับฎีกาของโจทก์คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมด
โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 จะเห็นได้ว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายกำหนดแบบในการที่จะต้องทำนิติกรรมสัญญา ว่า จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะสมบูรณ์ หากทำไม่ถูกแบบ ตามที่กฎหมายกำหนดถือเป็นโมฆะ การที่กฎหมาย กำหนดไว้นี้ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 453 จะเห็นได้ว่าการซื้อขายเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ แห่งทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ ผู้ที่จะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่ผู้อื่นนั้นจะต้องเป็นผู้เป็นเจ้าของ เท่านั้น ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ ในส่วนที่เป็นของ นายสุข ทวี หาได้ร่วมทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทด้วยไม่ดังนั้นการซื้อขายจึงหาได้ทำโดยเจ้าของทรัพย์ไม่ จึงถือได้ว่าเป็นนิติกรรมที่ต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย จึงตกเป็นโมฆะ ฎีกาของโจทก์หาใช่เป็นฎีกา ที่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย หากแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชนด้วย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 99 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ที่พิพาทดีกว่าโจทก์ทั้งสอง ให้ยกฟ้องของโจทก์ทั้งสอง บังคับตามฟ้องแย้งของจำเลย ห้ามโจทก์ทั้งสอง และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96)
โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97)
คำสั่ง
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองขายที่พิพาทให้จำเลยในราคาที่ระบุไว้ในสัญญา สัญญาซื้อขายที่พิพาทจึงเป็นนิติกรรมที่แท้จริง หาใช่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยังไม่ และ โจทก์ทั้งสองได้สละสิทธิครอบครองที่นาส่วนของตน ให้จำเลยเข้าครอบครองแล้วนั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยเข้าครอบครองเพื่อตน และฟังว่าจำเลยได้ เข้าแย่งการครอบครองที่พิพาทส่วนของนายสุข ทวีด้วยจำเลยจึงได้สิทธิครอบครองในที่พิพาททั้งแปลง ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองยืมเงินจำเลย และส่งมอบที่พิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยก็ดี จำเลยไม่ได้แย่งการครอบครองที่ดินในส่วนของ นายสุข ก็ดี ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ส่วนฎีกา ของจำเลยทั้งสองในปัญหาที่ว่า การซื้อขาย ที่พิพาทไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ และนายสุขมิได้ขายที่พิพาทให้จำเลยด้วย การซื้อขายจึงตกเป็นโมฆะนั้น แม้จะเป็น ปัญหาข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองนั้น ศาลฎีกา เห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ