แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลสั่งในคำร้องขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้วและสั่งคำร้องว่า ปัญหาว่าคำฟ้องและคำเบิกความเป็นเท็จหรือไม่เป็นปัญหาที่ใช้สามัญสำนึกธรรมดาก็อาจทราบได้ ปัญหาดังกล่าวจึงมิใช่ปัญหาสำคัญประกอบกับศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยละเอียดแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงใกล้เคียงกัน จึงไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ปัญหาว่าศาลวินิจฉัยเกินกว่าพยานหลักฐานหรือไม่ และการรับฟังคำพยานฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยว่ายันปากกันไม่อาจสนิทใจเชื่อฝ่ายใดได้และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยจะเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว เฉพาะจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงคัดค้าน (อันดับ 112,109)
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175,177,83,91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีของโจทก์มีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา ส่วนจำเลยที่ 3พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 106 แผ่นที่ 3 แผ่นที่ 1)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเกินจากพยานหลักฐานในสำนวนดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยเพียงเพราะพยานโจทก์จำเลยยันปากกัน ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น หากฎีกาข้อนี้จะเป็นข้อกฎหมายดังโจทก์ร้องขึ้นมา ก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของโจทก์