แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงและอุทธรณ์ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ไม่รับอุทธรณ์
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยมีสิทธิตามกฎหมายในการเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ศาลแรงงานกลางได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับแล้ว (อันดับ 41)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์18,180 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 35)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์เรียกเก็บดอกเบี้ยเงินกู้จากพนักงานเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยก็ดีโจทก์ฝากใบรับรองแพทย์ให้ผู้อื่นไปยื่นต่อจำเลย ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มีเจตนาลาป่วย จึงเป็นการขาดงานติดต่อกันเกินกว่า 3 วันโดยไม่มีเหตุอันสมควรก็ดีและแม้โจทก์จะขาดงานไม่ถึง 3 วันจำเลยก็เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาแล้วก็ดี ล้วนแต่เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่รับฟังมาแล้วว่าโจทก์ไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยโดยเรียกดอกเบี้ยเงินกู้เกินอัตราตามกฎหมาย ใบรับรองแพทย์รับรองว่าโจทก์ป่วย 2 วัน แม้โจทก์จะหยุดงานไป 4 วันก็ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ขาดงาน 3 วันติดต่อกันและข้อนำสืบของจำเลยฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้กระทำผิดตามคำเตือนอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งตัดพยานจำเลย 3 ปาก ซึ่งเป็นพยานสำคัญในคดี เป็นเหตุให้ข้อเท็จจริงไม่กระจ่างชัด ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลแรงงานกลางสืบพยานของจำเลยทั้ง 3 ปากนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 22 กันยายน 2530 ว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางประวิงคดี จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยนั้นเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งตามที่ศาลแรงงานกลางพิจารณาเห็นเป็นการสมควร จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวหาได้ไม่ เพราะเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเช่นกันที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์จำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง