คำสั่งคำร้องที่ 1671/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งและศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ มูลหนี้ตามเช็คที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นมูลหนี้เดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งเรียกเก็บเงินตามเช็ค เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งและศาลได้พิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้วจึงมีผลทำให้มูลหนี้ตามเช็คที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญานี้ คดีจึงเลิกกันตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 10,000 บาทจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 5,000 บาทจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือน 15 วันไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยที่ 1 ที่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด3 เดือนลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 1 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้แล้ว ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดพิษณุโลกเรียกให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินตามเช็ค ในที่สุดโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลจังหวัดพิษณุโลกได้พิพากษาตามยอมแล้วคดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 นั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มูลหนี้ตามเช็คคดีนี้โจทก์ได้นำไปฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชดใช้เงินตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 214/2537 ของศาลจังหวัดพิษณุโลกแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาคดีตามยอมถึงที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2537 ผลของการประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ดังนั้นหนี้ที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้น จึงเป็นอันระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 239(3)”
เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้ว จึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ

Share