แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้เอกสารที่จำเลยทำไว้กับโจทก์จะใช้ชื่อว่าหนังสือรับสภาพหนี้แต่การทำหนังสือดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่โจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยและโจทก์เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการศาลทหารกรุงเทพดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์และโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็คเมื่อมีการไกล่เกลี่ยโจทก์และจำเลยตกลงในยอดหนี้ใหม่กันได้จำเลยตกลงชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเช็ครวม37ฉบับโจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาดังกล่าวกรณีเป็นที่เห็นได้ชัดว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็น ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยเพื่อที่จะ ระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้ซึ่งโจทก์และจำเลยได้พิพาทกันจนมีการดำเนินคดีอาญาให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850เมื่อเช็คพิพาทที่นำมาฟ้องคดีนี้เป็นคดีที่จำเลยชำระหนี้ตามมูลหนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวและ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้และเมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมิใช่การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินและเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราอันเป็นเช็คที่มี มูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สอง จ่ายเงิน ตามเช็ค 13 ฉบับพร้อม ดอกเบี้ย เป็น เงิน 609,957.38 บาท
จำเลย ทั้ง สอง ให้การ ว่า จำเลย ที่ 1 ได้ ทำ หนังสือ รับสภาพหนี้ไว้ แก่ โจทก์ และ ได้ ออก เช็ค ให้ โจทก์ ไว้ 36 ฉบับ ซึ่ง บางส่วน โจทก์นำ มา ฟ้อง จำเลย เป็น คดี นี้ เช็คพิพาท รวม เงินต้น และ ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อ เดือน หนี้ ตามเช็ค จึง มีมูล หนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน ชำระ เงิน216,666.65 บาท พร้อม ดอกเบี้ย
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ข้อเท็จจริง ฟัง เป็น ยุติ ว่า เดิม จำเลยที่ 1 ได้ กู้เงิน โจทก์ และ ได้ ออก เช็ค ให้ โจทก์ ไว้ มี การ ชำระหนี้บางส่วน และ กู้เงิน กับ ออก เช็ค ใหม่ ให้ โจทก์ หลาย ครั้ง เมื่อ วันที่14 พฤษภาคม 2524 จำเลย ที่ 1 ได้ ออก เช็ค ให้ แก่ โจทก์ เพื่อชำระหนี้ ตาม ที่ ได้ ตรวจสอบ ยอดหนี้ เงินกู้ และ ดอกเบี้ย ที่ ค้างชำระและ ตกลง กัน ใหม่ เป็น เงิน รวม 1,250,000 บาท แต่ จำเลย ที่ 1 ได้อายัด เช็ค ดังกล่าว ตาม เอกสาร หมาย ล. 1 หมายเลข 15 โจทก์ จึง ร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน เพื่อ ดำเนินคดี อาญา แก่ จำเลย ที่ 1 ใน ขณะที่จำเลย ที่ 1 ที่ ถูก ดำเนินคดี อาญา ที่ ศาลทหาร กรุงเทพ โจทก์ ได้ ขอ เข้าเป็น โจทก์ร่วม ใน คดีอาญา นั้น ต่อมา ได้ มี การ ไกล่เกลี่ย กัน ใน ที่สุดโจทก์ และ จำเลย ที่ 1 ได้ ทำ หนังสือ รับสภาพหนี้ ตาม เอกสาร หมาย ล. 1หมายเลข 17 โดย จำเลย ที่ 1 ตกลง ชำระหนี้ 1,500,000 บาทให้ โจทก์ เป็น เช็ค ธนาคาร สหธนาคาร จำกัด สาขา ลาดพร้าว จำนวน 36 ฉบับ และ ใช้ ค่าติดตาม ทวงถาม และ ค่าใช้จ่าย ให้ โจทก์อีก 58,500 บาท เป็น เช็ค ธนาคาร เดียว กัน อีก 1 ฉบับ และ โจทก์กับ จำเลย ที่ 1 ตกลง กัน ด้วย ว่า บรรดา หนี้สิน นอกจาก หนังสือรับสภาพหนี้ ดังกล่าว แล้ว จำเลย ที่ 1 ไม่มี พัน ธะใด ๆ กับ โจทก์แต่อย่างใด เมื่อ ทำ หนังสือ รับสภาพหนี้ ดังกล่าว แล้ว โจทก์ ก็ ถอนคำร้องทุกข์ ใน คดีอาญา ดังกล่าว ตาม ข้อเท็จจริง ดังกล่าว ข้างต้นแม้ เอกสาร หมาย ล. 1 หมายเลข 17 จะ ใช้ ชื่อ ว่า หนังสือ รับสภาพหนี้แต่ การ ทำ หนังสือ ดังกล่าว เกิดขึ้น จาก การ ที่ โจทก์ ร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อ ดำเนินคดี อาญา แก่ จำเลย ที่ 1 และ โจทก์ เข้า เป็นโจทก์ร่วม กับ อัยการ ศาลทหาร กรุงเทพ ดำเนินคดี อาญา แก่ จำเลย ที่ 1ที่ ออก เช็ค ชำระหนี้ แก่ โจทก์ และ โจทก์ ไม่ได้ รับ เงิน ตามเช็ค เมื่อ มี การไกล่เกลี่ย โจทก์ และ จำเลย ที่ 1 ตกลง ใน ยอดหนี้ ใหม่ กัน ได้จำเลย ที่ 1 ตกลง ชำระหนี้ ให้ โจทก์ เป็น เช็ค รวม 37 ฉบับ โจทก์จึง ถอน คำร้องทุกข์ ใน คดีอาญา ดังกล่าว กรณี เป็น ที่ เห็น ได้ ชัด ว่าหนังสือ รับสภาพหนี้ ดังกล่าว เป็น ข้อตกลง ระหว่าง โจทก์ และ จำเลย ที่ 1เพื่อ ที่ จะ ระงับ ข้อพิพาท ที่ มี ขึ้น ตาม มูลหนี้ ซึ่ง โจทก์ และ จำเลย ที่ 1ได้ พิพาท กัน จน มี การ ดำเนินคดี อาญา ให้ เสร็จ ไป ด้วย ต่าง ยอม ผ่อนผันให้ แก่ กัน เอกสาร หมาย ล. 1 หมายเลข 17 จึง เป็นสัญญา ประนีประนอม ยอมความ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850เมื่อ เช็คพิพาท ที่ นำ มา ฟ้องคดี นี้ เป็น เช็ค ที่ จำเลย ทั้ง สอง ชำระหนี้ ตามมูลหนี้ ใน สัญญา ประนีประนอม ยอมความ ดังกล่าว และ ธนาคาร ปฏิเสธการ จ่ายเงิน ตามเช็ค นั้น จำเลย ทั้ง สอง จึง ต้อง รับผิด ชดใช้ และ เมื่อวินิจฉัย ว่า จำเลย ทั้ง สอง ออก เช็คพิพาท เพื่อ ชำระหนี้ ตามสัญญา ประนีประนอม ยอมความ จึง มิใช่ การ ออก เช็ค เพื่อ ชำระหนี้ที่ เกิดจาก การกู้ยืมเงิน และ เรียก ดอกเบี้ย เกิน อัตรา อันเป็น เช็คที่ มีมูล หนี้ ที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดัง ที่ จำเลย ทั้ง สอง นำสืบ ต่อสู้แต่ เนื่องจาก คดี นี้ โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สอง ชำระ เงิน609,957.38 บาท ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สอง ชำระ เงิน216,666.65 บาท พร้อม ดอกเบี้ย แก่ โจทก์ โจทก์ มิได้ อุทธรณ์และ ฎีกา ใน จำนวนเงิน ที่ พิพากษา ให้ จึง ต้อง ให้ จำเลย ทั้ง สอง รับผิดชำระ เงิน ตาม จำนวน เพียง เท่าที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษา
พิพากษายืน