คำสั่งคำร้องที่ 1600/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ฎีกาข้อ 2เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การฎีกาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ฎีกาข้อ 2.2เป็นฎีกาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โดยฎีกาข้อ 2หรือ 2.1 เป็นปัญหาว่าศาลอุทธรณ์ไม่อาศัยข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นในการวินิจฉัยคดี และฎีกาข้อ 2.2 เป็นปัญหาว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฏในท้องสำนวน และการคิดทุนทรัพย์ชั้นฎีกาควรคิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์มิใช่คิดตามทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปและมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่จำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 76 แผ่นที่ 2)
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 15,125 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 22 กันยายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยเมื่อคิดคำนวณถึงวันฟ้องจะต้องไม่เกิน 785 บาท)
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 74)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 76 แผ่นที่ 2)
จำเลยยื่นคำแถลงขอให้ถือหลักทรัพย์ที่วางไว้ในชั้นขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์เป็นหลักประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งศาลฎีกา (อันดับ 76 แผ่นที่ 6)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อ 2.1 ที่ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องโดยไม่อาศัยข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นและในข้อ 2.2 ศาลอุทธรณ์ไม่ฟังตามหนังสือทวงหนี้ของโจทก์ว่าจำเลยเป็นหนี้ตามจำนวนที่ปรากฏในหนังสือทวงหนี้ดังกล่าว เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้องส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้จำเลยนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่จำเลยแล้ว จึงไม่ต้องสั่งคืนให้อีก

Share