แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จึงไม่รับ
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพียงกรรมเดียว แต่ศาลลงโทษจำเลยทั้งสองหลายกระทง ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับโทษมากขึ้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง,75 วรรคหนึ่ง,76 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคแรก,83 ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันจำหน่ายกัญชา จำคุกคนละ 2 ปี และฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีหรือใช้อาวุธ จำคุกคนละ 1 ปี รวมเป็นจำคุกคนละ 5 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง เห็นสมควรลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน ฯลฯ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 73)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันจำหน่ายจำคุกคนละ 2 ปี และฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติตามหน้าที่โดยมีและใช้อาวุธ จำคุกคนละ 1 ปีรวมจำคุกคนละ 5 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยทั้งสองฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกัน เป็นพิรุธ ไม่มีน้ำหนักให้พอรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง และหากฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิด ก็ขอให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยทั้งสองด้วยนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 4 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกา ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างในคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาว่า จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดกรรมเดียว แต่ศาลลงโทษหลายกรรม เป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น จำเลยทั้งสองฎีกามีใจความว่า หากศาลฎีกาลงโทษเป็นรายกระทง กระทงละไม่เกิน 2 ปี ก็ขอให้รอการลงโทษด้วย หาได้ฎีกาดังที่กล่าวอ้างในคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าข้ออ้างดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง