แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาทรัพย์พิพาทไว้เป็นเงิน 180,000 บาท ปรากฏตามบัญชีทรัพย์ ที่ยึด ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2525 มิใช่ราคา 200,000 บาทดังที่โจทก์อ้างในฎีกา ต้องถือว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง180,000 บาทเท่านั้น โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ตามบัญชีทรัพย์ที่ยึดเป็นราคาประเมินเฉพาะที่ดิน ไม่รวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินคือบ้านซึ่งมีราคา20,000 บาท ดังนั้นทุนทรัพย์ในคดีนี้จึงมีราคา 200,000 บาทซึ่งโจทก์ก็ ได้เสียค่าขึ้นศาลในราคาทุนทรัพย์นี้ เมื่อทุนทรัพย์มีราคา 200,000 บาท โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 112)
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึง ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมบ้าน ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์พิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 104)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107,110)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาคือ ที่ดินราคา 180,000 บาท และบ้านราคา 20,000 บาท รวมราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้าม มิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง คืนค่าคำร้องที่ชำระเกินมา 160 บาท ให้แก่โจทก์