คำสั่งคำร้องที่ 1561/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับเป็นฎีกาเฉพาะข้อ 2.1 ซึ่งเป็นข้อกฎหมายเท่านั้น นอกนั้นเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โดยข้อ 2.2ฎีกาว่าคดีแพ่งที่จำเลยได้ยื่นฟ้องนายอำเภอบ้านแพง กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดนครพนมเรื่องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่เพิกถอนสัญชาติไทยนั้น บัดนี้ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้วว่า จำเลยเป็นคนสัญชาติไทยปรากฏตามเอกสารท้ายฎีกาหมายเลข 1และข้อ 2.3 ฎีกาว่าเจตนาในการกระทำความผิดของจำเลยคดีนี้กับเจตนาของจำเลยในคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1615/2528แตกต่างกันหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 217)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,268 และมาตรา 267 ให้ลงโทษตามมาตรา 265,268 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 3 ปี กระทงหนึ่งและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267,268 และมาตรา 267 ให้ลงโทษตามมาตรา 267,268 จำคุก 1 ปี อีกกระทงหนึ่งเรียงกระทงลงโทษแล้ว รวมจำคุก 4 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 210)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 216)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างให้จำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาข้อ 2.2 ว่าในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนายอำเภอบ้านแพง และผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นจำเลย ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่เพิกถอนสัญชาติของจำเลย ศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำเลยเป็นคนสัญชาติไทยแล้ว และจำเลยฎีกาข้อ 2.3 ว่าเจตนาของจำเลยในคดีนี้ กับเจตนาของจำเลยในคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1615/2528แตกต่างกันหรือไม่ ดังนี้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้ง 2 ข้อดังกล่าวชอบแล้วให้ยกคำร้อง

Share