คำสั่งคำร้องที่ 1512/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกาและฎีกาเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง โต้เถียงดุลพินิจ ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ส่วนฎีกาข้อกฎหมายก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาล และสั่งฎีกาเพิ่มเติมว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้อีก จำเลยเห็นว่า คดีนี้โจทก์ได้ละเมิดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 และมาตรา 183โดยศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 28 มกราคม 2536 ซึ่งโจทก์ต้องยื่นบัญชีพยานและสรรพสิ่งพยานเอกสารและรูปถ่ายต่อศาลก่อน วันที่ 12 มกราคม 2536 แต่โจทก์หาได้กระทำให้ถูกต้องเช่นนั้นไม่ และไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบด้วย ซึ่งจำเลยได้มีหนังสือ คำแถลงคัดค้านเรื่องนี้แล้ว และการที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัย เอกสารหมาย ล.3, ล.4 และได้อ่านคำบันทึกในเอกสารหมาย ล.13 คลาดเคลื่อนไป เช่น”ได้พอใจตัวตึกและ” ที่ถูกต้องจะต้องอ่านเป็น “ได้พอใจในตัวตึกและ” ตกตัวอักษรสำคัญคือ “ใน” ซึ่งทำให้จำเลยแพ้คดี เป็นปัญหาข้อกฎหมาย อีกทั้งคดีนี้ มีทุนทรัพย์สูงถึง 242,245 บาท โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 136) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 105,345 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 105,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 พฤศจิกายน 2535) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาและฎีกาเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและฎีกาเพิ่มเติมดังกล่าว (อันดับ 123,121 แผ่นที่ 6) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาของจำเลยในข้อกฎหมายในส่วนที่ เกี่ยวกับศาลล่างทั้งสองรับฟังพยานหลักฐานขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 และ 183 นั้นเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในส่วนฟ้องโจทก์มีเพียง 105,345 บาท ส่วนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฟ้องแย้งนั้น จำเลยฟ้องแย้งมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้น กำหนดไว้เพียง 117,245 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้ง และเมื่อจำเลยแพ้คดีในชั้นอุทธรณ์ จำเลยฎีกาขอให้ตน ชนะคดีตามฟ้องแย้ง จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา จึงต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ที่กำหนดมาในศาลชั้นต้น โดยไม่รวมค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ เป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share