แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลิกสัญญากันแล้ว เมื่อสัญญาเลิกกันคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยภายหลังสัญญาเลิกกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเช่าที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระและราคาค่าซื้อทรัพย์ที่เช่าทั้งหมดแก่โจทก์หรือไม่เพียงใดนั้น เป็นฎีกาข้อกฎหมายโปรดรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังมิได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 46)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 49)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าสัญญารายพิพาทเลิกกันโดยคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญาหรือสัญญาเลิกกันโดยจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งประพฤติผิดสัญญาเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาใช่ปัญหาข้อกฎหมายไม่คำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ