คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ร. เป็นหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีธนาคารจำเลยที่ 1 ร.ตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ชำระหนี้ของ ร.ให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วน ร.จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 30052 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำนองไว้กับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ทันทีต่อมาโจทก์ชำระหนี้แทน ร.ครบถ้วนแล้ว โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1ว่า ขออย่าได้มอบโฉนดที่ดินให้ ร.ไปจนกว่าจะได้รับความยินยอมจากโจทก์ ดังนี้เป็นหน้าที่ของ ร. ที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น แม้ข้อตกลงนี้จะทำขึ้นที่ธนาคารจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการสาขาและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นพยาน แต่ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ร. หาผูกพันจำเลยทั้งสามให้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามไม่ ส่วนที่โจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ก็เป็นการชำระในนาม ร. ซึ่งก็เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ร. การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มอบโฉนดที่ดินคืนให้แก่ ร. เพื่อไปไถ่ถอนจำนอง จึงเป็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาจำนองโดยชอบแม้การคืนโฉนดที่ดินจะมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายและให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายรังสรรค์เป็นลูกหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีกับธนาคารจำเลยที่ ๑ และได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๐๐๕๒ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ดังกล่าว ต่อมานายรังสรรค์ขอผ่อนชำระหนี้ โดยให้โจทก์เป็นผู้ชำระหนี้แทน และนายรังสรรค์มีข้อตกลงกับโจทก์ว่า หากโจทก์ชำระหนี้แทนแล้ว นายรังสรรค์จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองไว้กับจำเลยให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามยินยอมตามข้อตกลงนั้น เมื่อโจทก์ชำระหนี้แทนนายรังสรรค์เสร็จสิ้น จึงมีหนังสือถึงจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ห้ามมอบโฉนดที่ดินให้นายรังสรรค์ แต่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ซึ่งกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ จงใจมอบโฉนดที่ดินให้นายรังสรรค์ไป โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทำให้โจทก์ไม่สามารถรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้ เพราะนายรังสรรค์ได้นำไปจำนองประกันหนี้ไว้กับบุคคลอื่นอีก ๒ ราย การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอบังคับให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า ข้อตกลงระหว่างนายรังสรรค์กับโจทก์นั้นจำเลยไม่ได้เป็นคู่สัญญาหรือตกลงยินยอมด้วย จำเลยทั้งสามไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ การที่โจทก์แจ้งให้จำเลยมิให้มอบโฉนดที่ดินแก่นายรังสรรค์ ไม่ผูกพันจำเลยทั้งสาม ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยทั้งสามไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ‘ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องประกอบเอกสารท้ายฟ้องได้ความว่า นายรังสรรค์ วงศ์ร่วมพิบูลย์ เป็นหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี ธนาคารจำเลยที่ ๑ สาขาถนนวิสุทธิกษัตริย์ ถึงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๒๔ เป็นเงิน ๖๐๙,๘๕๓.๘๑ บาท นายรังสรรค์ ได้ขอผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดดังกล่าวภายในกำหนด ๑ ปี ปรากฏตามเอกสารหมายเลข ๑ ท้ายฟ้อง และนายรังสรรค์ได้มีข้อตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ชำระหนี้ของนายรังสรรค์ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๑ ครบถ้วน นายรังสรรค์จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๐๐๕๒ พร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดซึ่งจำนองไว้กับจำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ทันที โดยนายรังสรรค์ได้ทำหนังสือแสดงเจตนาไว้ตามเอกสารหมายเลข ๒ ท้ายฟ้อง ต่อมาโจทก์ได้ชำระหนี้แก่จำเลยที่ ๑ แทนนายรังสรรค์ครบถ้วนแล้วโจทก์ได้มีหนังสือถึงผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ สาขาถนนวิสุทธิกษัตริย์ว่า หากนายรังสรรค์มาติดต่อขอรับโฉนดที่ดินก็อย่ามอบให้ไปจนกว่าจะได้รับความยินยอมจากโจทก์ ปรากฏตามเอกสารหมายเลข ๓ ท้ายฟ้อง พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเอกสารหมายเลข ๒ ท้ายฟ้องเป็นเพียงหนังสือที่นายรังสรรค์ทำไว้เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาของตนที่ได้ตกลงกับโจทก์ว่า เมื่อโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๑ เรียบร้อยแล้วตนจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองไว้กับจำเลยที่ ๑ ให้แก่โจทก์เท่านั้น จะเห็นได้ว่าตามเอกสารดังกล่าว การโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์เป็นหน้าที่ของนายรังสรรค์ที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น จำเลยทั้งสามหาได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ แม้หนังสือดังกล่าวจะได้ทำขึ้นที่ธนาคารจำเลยที่ ๑ สาขาถนนวิสุทธิกษัตริย์ โดยมีจำเลยที่ ๒ และเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ลงชื่อเป็นพยาน ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับนายรังสรรค์ก็หาผูกพันจำเลยทั้งสามให้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นไม่ ที่โจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๑ นั้นเป็นการชำระหนี้ในนามนายรังสรรค์ผู้เป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับนายรังสรรค์เท่านั้น การที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ มอบโฉนดที่ดินให้นายรังสรรค์ไปทำการไถ่ถอนจำนองนั้น ก็เป็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาจำนองโดยชอบเพราะหนี้จำนองได้รับชำระถูกต้องครบถ้วนแล้ว แม้การคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวจะมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ตามหนังสือขอร้องของโจทก์ เอกสารหมายเลข ๓ ท้ายฟ้อง ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย จึงไม่เป็นการละเมิด จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง คดีไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์จำเลย ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share