คำสั่งคำร้องที่ 1391/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษา ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่า บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 บัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.8และคำให้การรับสารภาพในชั้นพนักงานสอบสวนเอกสารหมาย จ.9 เป็นเอกสารปลอม เพราะจำเลยไม่ได้เป็นผู้ลงลายมือชื่อ ในเอกสารทั้งสามฉบับดังกล่าวนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยข้อกฎหมายนี้คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงที่ ปรากฏในทางพิจารณา เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคแรก ประกอบมาตรา 4,89 ให้จำคุก 5 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุม และสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบวัตถุออกฤทธิ์จำนวน28 เม็ด ของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข และคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ ส่วนข้อหาอื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 100) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 2.1 ของจำเลยที่ว่า บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 บัญชีของกลางเอกสารหมาย จ.8และคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.9เป็นเอกสารปลอม เพราะจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share