แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า ก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยทั้งสองได้ยื่น คำร้องฉบับลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 เพื่อให้ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา และขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ ทั้งนี้ด้วยเหตุ สืบเนื่องจากโจทก์ร่วมได้นำมูลหนี้ตามเช็คพิพาทในคดีนี้ฟ้องจำเลยทั้งสองและนายวัจน์อภิบาลภูวนารถ ต่อศาลแพ่งตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16000/2530 แดงที่ 20267-20268/2531 ศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่ยื่นฎีกาภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย คดีแพ่งดังกล่าวจึงถึงที่สุด เมื่อเช็คพิพาทในคดีนี้ไม่มีมูลหนี้ต่อกันโดยผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดแล้วมูลหนี้ตามเช็คพิพาทในคดีนี้จึงเป็นอันสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด มีผลทำให้คดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 แต่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคำร้องฉบับดังกล่าวของจำเลยทั้งสองว่า รวม พร้อมกับเปิดซองคำพิพากษาศาลฎีกาออกอ่านให้แก่จำเลยที่ 2 ฟัง จึงเป็นการคลาดเคลื่อนต่อข้อกฎหมายอยู่บางประการ โปรดมีคำสั่งให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาของ ศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2535 และสั่งจำหน่ายคดี ออกจากสารบบความเนื่องจากคดีเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ด้วย
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องของ จำเลยทั้งสองว่ารับคำร้อง สำเนาให้โจทก์และโจทก์ร่วม จะคัดค้านประการใดให้ยื่นใน 7 วัน นับแต่วันรับสำเนา โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่ยื่น คำคัดค้านภายในกำหนด (อันดับ 99, สำนวนธุรการอันดับ 93)
ระหว่างพิจารณา นางนิรมลพูลเกษร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 10,000 บาท ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มี กำหนด 1 ปี
ต่อมาศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จ และสั่งไปยังศาลชั้นต้นเพื่อ อ่านให้คู่ความฟัง
ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟัง จำเลยทั้งสอง ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 ขอให้ศาลชั้นต้น งดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาและสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า รวม (อันดับ 94)และศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2535(อันดับ 96 แผ่นที่ 11 หน้า 2)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องดังกล่าว และศาลชั้นต้นได้ไต่สวนคำร้อง แล้ว (อันดับ 99,100,122)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เช็คที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้โจทก์ร่วม ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งให้ชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ พิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าได้มีการชำระเงินตามเช็ค ดังกล่าวไปแล้ว และจำเลยได้ยื่นคำร้องแถลงผลของคำพิพากษา ดังกล่าวให้ศาลชั้นต้นทราบก่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ถือได้ว่าหนี้ที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 4 ได้ออกเช็ค เพื่อใช้เงินนั้น ได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ให้คู่ความฟัง เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยผิดหลง
จึงให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่24 กุมภาพันธ์ 2535 นั้นเสีย ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ และให้ ศาลชั้นต้นส่งคำพิพากษาศาลฎีกาคืนศาลฎีกา