แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่พิจารณาคดี มิได้รับรองให้ฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา เพราะต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2 ก. ที่ว่า คำวินิจฉัยของ ศาลอุทธรณ์เป็นคำวินิจฉัยที่เป็นการคาดคะเน และเป็นคำวินิจฉัย นอกไปจากสำนวน ซึ่งโจทก์มิได้นำสืบไว้นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และจำเลยได้ฎีกาในเรื่องที่โจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 190)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 30,800 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 22,000 บาทนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2530) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 22,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 22,000 บาท ตั้งแต่วันกู้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 180)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล (อันดับ 185)
คำสั่ง
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา โดยมิได้นำเงิน มาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาล ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วย มาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ