แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการฟังข้อเท็จจริงของศาลเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายที่โจทก์ต้องการ จึงเป็นการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ไม่รับฎีกาโจทก์ โจทก์เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลและคู่ความย่อมยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใด ๆ ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายและเป็นข้อกฎหมายที่สมควรได้รับการวินิจฉัย การที่ศาลชั้นต้นฟังว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและไม่รับฎีกาโจทก์จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 89แผ่นที่ 2,88,91 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172,173,174,157,83,91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 82)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ฎีกาโจทก์ว่าโจทก์ได้นำสืบว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองบ้านเลขที่ 4 หมู่ที่ 3ตำบลทุ่งศุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จำเลยที่ 1ที่ 2 ได้แจ้งต่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนให้บันทึกลงในเอกสารมหาชนว่า โจทก์บุกรุกบ้านเลขที่ 6/2 โดยลบเลขบ้าน 4ออกแล้วเขียนใหม่เป็น 6/2 การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 3 กล่าวหาว่าโจทก์บุกรุกทำให้เสียทรัพย์บ้านเลขที่6/2 จึงเป็นเท็จทั้งจำเลยที่ 3 รู้แล้วว่าข้อความที่จำเลยที่ 1ที่ 2 นำมาแจ้งเป็นเท็จยังช่วยเหลือจับกุมโจทก์มาดำเนินคดีอันเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ละทิ้งอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจึงเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับชอบแล้ว ยกคำร้อง