แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบทั้งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 เพราะศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะโทษ ไม่ได้แก้บทลงโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยมีข้อเท็จจริงคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์อยู่ในตัว นอกจากนี้ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทั้งมิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ฎีกาของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218โปรดมีคำสั่งของศาลชั้นต้นและให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาเพื่อเป็นบรรทัดฐานสืบไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 38)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7,17,69,102 ฯลฯ จำคุก 3 ปีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 2 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและรับสารภาพชั้นศาลหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 35)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษจำคุกเท่านั้น ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลยหนักไป เป็นฎีกาคัดค้านดุลยพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง