แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และไม่เป็นข้อกฎหมายอันเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ปรากฏในสำนวนจึงเป็นการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐานและที่ศาลฎีกาย้อนสำนวนมาให้สืบพยานใหม่ แต่ศาลแรงงานกลางกลับไม่สอบถามและหรือเปิดโอกาสให้โจทก์จำเลยนำพยานมาสืบให้ชัดแจ้งเสียก่อนที่จะทำการวินิจฉัย จึงเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 44,45 ประกอบมาตรา 48 อีกทั้งปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งให้รับ อุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 46)
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึง โจทก์ที่ 5
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 45,660 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 41,220 บาทโจทก์ที่ 3 จำนวน 48,960 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 35,640 บาทและโจทก์ที่ 5 จำนวน 17,760 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินของโจทก์แต่ละคนนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม2531 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ละคนและให้จำเลยชำระบำเหน็จส่วนที่ขาดแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 3,600 บาทและโจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 3,900 บาท และแก่โจทก์ที่ 5 จำนวน2,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินของโจทก์แต่ละคนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ละคน
ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางสำหรับคำขอของโจทก์ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในส่วนที่เกี่ยวกับบำเหน็จโดยให้ศาลแรงงานกลางสืบพยานและวินิจฉัยหลักเกณฑ์กับวิธีการคำนวณบำเหน็จของโจทก์ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ตามนัยดังกล่าว แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
ศาลแรงงานกลางนัดสืบพยานโจทก์ ถึงวันนัดคู่ความแถลงรับกันว่า ข้อบังคับองค์การแก้วว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2521เอกสารหมาย จ.1 เป็นข้อบังคับของจำเลยเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณบำเหน็จในขณะที่โจทก์ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5เป็นลูกจ้างของจำเลย ศาลได้พิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ และคำแถลงของคู่ความแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยเสีย พิพากษาให้จำเลยชำระบำเหน็จส่วนที่ขาดแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 3,600 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 3,900 บาทและโจทก์ที่ 5 เป็นเงิน 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินของโจทก์แต่ละคนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ละคน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว(อันดับ 41)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลแรงงานกลางโดยจำเลยทำหนังสือรับรองว่า จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุด หนังสือดังกล่าวเป็นเพียงคำรับรองของลูกหนี้ตามคำพิพากษาว่าจะชำระหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น มิใช่เป็นการหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 แต่ตามพฤติการณ์เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยมิได้จงใจไม่ปฏิบัติ จึงให้จำเลยดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ภายใน 7 วันนับแต่วันทราบคำสั่ง แล้วให้ศาลแรงงานกลางส่งคืนศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป