แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยและพิพากษาโดยอาศัยปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น และฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งห้าได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 65)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352,354,83,90
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 62)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า อย่างช้าโจทก์ได้ทราบถึงการกระทำของจำเลยทั้งห้า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม2530 โจทก์ฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์รู้เรื่องการยักยอกทรัพย์และรู้ตัวผู้กระทำความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ เมื่อวันที่31 ธันวาคม 2530 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง