แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี หากแต่ศาลฎีกาจะพิจารณา พิพากษาคดีต้องใช้เวลานาน ประกอบกับจำเลยทั้งสองได้ฟ้องโจทก์ ในสำนวนคดีนี้ อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและทำการอายัดที่ดิน พิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย ไม่สามารถนำที่ดินไปโอนขายให้บุคคลภายนอกได้ ซึ่งศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาให้ถอนการอายัดที่ดินพิพาทแล้ว ในกรณีนี้ หากจำเลย ทั้งสองนำที่ดินพิพาทไปจำหน่ายจ่าย-โอนให้บุคคลภายนอกแล้ว เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ไม่มีทรัพย์พิพาท ที่จะให้บังคับตามคำพิพากษาได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวและอาศัยสิทธิ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264ขอศาลได้โปรดกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โดยขอศาลได้โปรดมีคำสั่งอายัดที่ดินพิพาททั้งสองแปลง โดยให้มีหนังสืออายัดไปยังเจ้าพนักงานที่ดินไว้ก่อนจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา หรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 151,152 แผ่นที่ 2)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยเรียกโจทก์ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนหลังเป็นโจทก์ เรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ 1 และ ที่ 2 ตามลำดับ
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินพิพาท ทั้งสองแปลงแก่โจทก์ พร้อมกับรับชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือ จำนวน 13,296,500 บาท โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายออก ค่าธรรมเนียมกับค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนพร้อมกับค่านายหน้า ส่วนสำนวนหลังโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยถอนการอายัด ที่ดินพิพาทและให้จำเลยชำระเงินจำนวน 10,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ ค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะถอนการอายัดที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องจำเลยทั้งสองที่เป็นโจทก์ในสำนวนที่สอง แต่ให้โจทก์ดำเนินการขอถอนอายัด ที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินมิฉะนั้น ให้ถือคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว(อันดับ 146,147)
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณา(อันดับ 161)
คำสั่ง
ตามคำร้องของ โจทก์ที่ขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวโดยให้อายัดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงในระหว่างฎีกา เท่ากับว่าโจทก์ประสงค์จะให้งดการถอนการอายัดที่ดินพิพาทไว้ก่อนและเมื่อได้พิเคราะห์แล้วจึงเห็นเป็นการสมควรระงับการถอน การอายัดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงไว้ก่อน ห้ามจำเลยทั้งสองทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ