แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมาย ไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า การที่โจทก์ที่ 2มอบทองแก่จำเลยที่ 3 ไป ก็เพื่อยืนยันว่าโจทก์ที่ 2 ประสงค์จะทำการสมรสกับจำเลยที่ 3 การกระทำดังกล่าวเป็นการหมั้นหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งสามยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 10,000 บาท และสินสอดจำนวน 40,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 66)
โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 1 ขอจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรสาวของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อให้แต่งงานกับโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 2 มอบสร้อยคอทองคำพร้อมสร้อยข้อมือทองคำน้ำหนักรวม 2 บาทแก่จำเลยที่ 3 ก่อนแต่งงาน และในวันทำพิธีแต่งงานโจทก์ทั้งสองมอบเงินสด 40,000 บาทแก่จำเลยที่ 1และที่ 2 โจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 3 ตกลงทำพิธีแต่งงานกันตามประเพณีและอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาเท่านั้น มิได้ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นสำคัญมาแต่แรก ทรัพย์ที่ให้กันดังกล่าวจึงมิใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมาย ดังนี้การที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า การให้ทรัพย์ดังกล่าวเพื่อแสดงเจตนาว่าจะสมรส อันเป็นการหมั้น จึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง